นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลาตอน1-2 - นิยาย นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลาตอน1-2 : Dek-D.com - Writer
×

    นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลาตอน1-2

    เมื่อซอโบอา ไกด์สาวเกาหลีคนสวย ซึ่งทั้งเปรี้ยวเค็มและเผ็ดเหมือนกับกิมจิ กับเพื่อนไกด์กะเทยไทยต้องพาทีมรายการทีวีจากเมืองไทยและโปรดิวเซอร์สุดหล่อ เพื่อไปถ่ายรายการทั่วเกาหลี โดยมีแผนการร้ายซ่อนอยู่

    ผู้เข้าชมรวม

    159

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    159

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  6 ส.ค. 56 / 09:30 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                                                        1นางสาวกิมจิ

                   

     กรุงเทพฯ  เมษายน 17.55 น.  

                    ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาล  ชายชราในวัยเจ็ดสิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังนอนรอนาทีสุดท้ายของชีวิตด้วยแววตาเงียบเหงาว้าเหว่อย่างสุดประมาณ  แม้จะมีสมบัตินับหมื่นล้าน มีผู้คนให้ความเคารพนับถือในคุณงามความดีที่สร้างไว้มากมาย  แต่หลายสิบปีมาแล้วที่แววตาเช่นนี้ของท่านประธานฯสมชายเจ้าของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่บัวกรุ๊ปไม่เคยลบเลือนแปรเปลี่ยนไปเลย

                    ที่ระเบียงด้านนอกห้องมีบรรดาญาติๆและผู้บริหารคนสนิทสิบกว่าคนกำลังยืนรอเข้าเยี่ยมและหวังจะทราบอาการป่วยของท่านประธานฯอยู่ด้วยสีหน้าวิตกกังวล  คุณนายเจี๊ยบหลานสาววัยสี่สิบกว่าแต่ยังสวยพริ้งของท่านสมชายกำลังสอบถามอาการป่วยลุงของเธอกับคุณหมอรงค์รองผอ.โรงพยาบาลและเป็นแพทย์เจ้าของไข้

                    “พี่รงค์คะ อาการคุณลุงไม่ดีขึ้นเลยเหรอคะ”

                    “เจี๊ยบ.. พวกเราในโรงพยาบาลทุกคนพยายามกันเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณลุงท่านจะ..หมดกำลังใจไปแล้ว บางที..”คุณหมอรงค์พูดเสียงอึกอัก แววตาครุ่นคิด

                    “ไอ้หมอ..! พวกเราที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้น  แกช่วยบอกหน่อยได้มั๊ยว่าพวกเราพอจะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจกันอีกซักกี่วัน”เป็นเสียงคำถามแบบขวานผ่าซากมาจากคุณนิพนธ์ญาติห่างๆที่เป็นผู้บริหารคนหนึ่งในกลุ่มบริษัทบัวกรุ๊ป

                    “พี่นิพนธ์! ทำไมพี่พูดแบบนั้นล่ะคะ”คุณนายเจี๊ยบหันมามองหน้า ไม่พอใจ

                    “พี่ขอโทษถ้าเจี๊ยบจะโกรธ แต่ถ้าคุณลุงเกิดเป็นอะไรไปโดยไม่ได้เตรียมการเรื่องหุ้นเรื่องมรดกเรื่องพินัยกรรมไว้ก่อนละก็ คิดดูซิบริษัทในเครือตั้งยี่สิบกว่าบริษัท มูลค่าหุ้นตั้งเป็นหมื่นเป็นแสนล้านมันจะวุ่นวายขนาดไหน”

                    ทุกคนพากันนิ่งเงียบเป็นเชิงเห็นพ้องเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวที่อาจถูกกระทบ  บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของแววตาอันว้าเหว่ว่างเปล่าของท่านประธานฯสมชายด้วยก็เป็นได้

                    “ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์  ผมว่า อาจจะไม่เกิน..สี่ห้าวัน...”คุณหมอรงค์เอ่ยขึ้น เสียงไม่สบายใจนัก

    มีเสียงอุทานเบาๆจากบางคนก่อนความเงียบจะเข้าเคลือบคลุม สีหน้าของแต่ละคนต่างดูเหมือนกำลังครุ่นคิดกังวลถึงผลจากการตายของท่านประธานฯสมชายที่จะเกิดขึ้นกับเฉพาะตน บางคนที่คิดว่าจะได้ผลประโยชน์มากก็เผลอผุดยิ้มออกมาอย่างลืมตัวบนใบหน้าที่ยังคงมีหน้ากากแห่งความเศร้าสวมทับอยู่

    ตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นยียวนคนหนึ่งเดินถือซองเอกสารแหวกเข้ามากลางกลุ่มอย่างไม่เกรงใจเหล่าไฮโซฯอาวุโสทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย แถมยังปากปีจอมาแต่ไกล

                    “ขอทางหน่อยครับ คุณลุงคุณป้า..มานัดชุมนุมซ้อมรำมวยไทเก๊กกันแถวนี้รึไงครับ ไม่รู้เหรอครับว่าที่นี่มันโรงพยาบาล..”

                หลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ก่อนจะขยับปากด่าแบบไทเก๊กรวมพลังหยินหยางชายหนุ่มคนนั้นก็เดินมาถึงที่หน้าประตูแล้ว

                    “คุณหมอรงค์ใช่มั้ยครับ ผมนักสืบเอกชน ตั๊ก สืบอุตลุด! เจ้านาย..สั่งให้ผมมาพบเรื่องด่วนเลยครับ”

                    “อ๋อ ครับ ท่านสั่งผมไว้เหมือนกัน”หมอรงค์พูดพร้อมกับรีบเปิดประตูห้องพานักสืบตั๊กเข้าไปทันที คนอื่นๆขยับจะตามเข้าไปบ้าง แต่นักสืบตั๊กชะโงกหน้าทะเล้นออกมาแล้วพูดขึ้นก่อนจะปิดประตูว่า

                    “ขอโทษ! เป็นความลับครับ ใครแอบฟังขอให้เป็นริดสีดวงทวาร...ถ้าเป็นอยู่แล้วก็ขอให้อักเสบ”

                    หลายคนแอบสะดุ้ง เผลอคลำก้นตัวเอง..

     

                    หมอรงค์พานักสืบตั๊กมานั่งที่ข้างๆเตียงของท่านสมชายที่ร่างกายระโยงระยางไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตสารพัดเท่าที่เงินจะหาซื้อได้

                    “ค่อยๆพูดนะครับคุณตั๊ก อย่าทำให้ท่านเหนื่อยหรือตกใจเป็นอันขาด”หมอรงค์พูดย้ำก่อนจะถอยไปนั่งตรงโซฟาที่มุมห้อง คอยสังเกตอาการ

                    “สวัสดีครับเจ้านาย ผมตั๊กครับ ที่ท่านสั่งให้ไปสืบเรื่อง....”

                    นักสืบตั๊กหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากในซอง แล้วใช้สองมือจับภาพไว้ตั้งขึ้นชูให้ท่านสมชายเห็น ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายเอกสารจากต้นฉบับภาพสเก็ตดินสอ เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างดีคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบที่ดูคล้ายชุดทหารในยุคหลายสิบปีก่อน

                    “เมื่อสามวันก่อน มีผู้หญิงเกาหลีคนหนึ่งเอาภาพนี้มาสอบถามคนแถวๆบ้านเดิมของท่านที่อยุธยา บอกว่าต้องการหาญาติที่ชื่อ...สมพร..เป็นอะไรกับเจ้านายรึเปล่าครับ”

                    ท่านสมชายค่อยๆหันหน้ามามอง และในทันทีที่เห็นภาพวาดนั้น ดวงตาของท่านพลันเบิกโพลง แววตาพลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง

                    “ตอนนี้เธอกลับเกาหลีไปแล้ว แต่ผมสืบจากที่อยู่ที่เธอทิ้งไว้แล้ว เธอชื่อโบอาครับ ซอโบอา!

                    โดยไม่คาดคิด ท่านสมชายถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากปากเพื่อที่จะได้มีโอกาสพูด..

                    “พาเธอมาพบชั้น ก่อนชั้นจะตาย ต้องพามาให้ได้!

                    เสียงสัญญาณเตือนจากเครื่องช่วยชีวิตดังขึ้น หมอรงค์ผลุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างร้อนรน พยายามจะใส่หน้ากากออกซิเจนให้ท่านสมชายอีกครั้ง แต่ท่านไม่ยอม  ประตูห้องถูกเปิดออก บรรดาญาติๆของท่านสมชายที่รออยู่นอกห้องต่างกรูกันเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ

                    “ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับท่าน”นักสืบตั๊กระล่ำระลักรับคำสั่ง

                    “พาเธอมา...แล้วชั้นจะให้นาย...ร้อยล้าน!

                    เป็นคำพูดสุดท้ายของท่านสมชายก่อนที่บรรดาหมอกับพยาบาลจะจับท่านใส่หน้ากากออกซิเจนและทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน  ขณะที่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำให้ทุกคนหันไปมองนักสืบตั๊กเป็นตาเดียวกัน เหมือนกับอยากจะถามว่า ใครกันที่มีค่าถึงร้อยล้านเพียงแค่พามาพบท่านสมชายเท่านั้น  แต่ดูเหมือนคนที่ถูกจ้องมองอยู่เองก็กำลังงุนงงสงสัยสุดขีดเช่นเดียวกัน

                    “ผมจะพาเธอมาพบท่านให้ได้ครับ เจ้านาย!

                    นักสืบตั๊กพูดขึ้นหลังจากหายงุนงงในอีกหลายนาทีต่อมา ภายหลังจากที่เสียงในสมองที่มีแต่คำว่าร้อยล้านๆๆดังก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกำลังฟังเพลงแร็พกวนประสาทค่อยๆแผ่วเบาลง เป็นเวลาที่แพทย์และพยาบาลได้ช่วยแก้ไขให้ท่านสมชายพ้นจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้สำเร็จแล้วเช่นกัน

                    แต่เมื่อนักสืบตั๊กมองหาไปรอบตัว เขาก็พบว่าภาพวาดและซองเอกสารที่มีข้อมูลของซอโบอาหญิงสาวที่เขาจะต้องตามหาเพื่อเงินร้อยล้านได้อันตรธานหายไปเสียแล้วอย่างลึกลับไร้ร่องรอย...

                   

    สองวันต่อมา..     กรุงโซล เกาหลีใต้  6.00 น.

                    แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องลอดช่องม่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอน กระทบกับผิวขาวผ่องของหญิงสาวที่นอนหลับคุดคู้เพราะความหนาวเย็นของยามเช้าอยู่บนเตียง วงหน้าหวาน สวยใสชวนมองเหมือนดาราเกาหลี แต่เมื่อเพ่งพินิจดูให้ชัดขึ้น จะแลเห็นได้ว่าเธอสวยคมเข้มบาดตากว่าสาวสวยเกาหลีทั่วๆไป

                    เสียงนาฬิกาปลุกจากตุ๊กตารูปไก่ที่ข้างเตียงดังขึ้นเป็นคำทักทายภาษาเกาหลี

                    “อันนิยองฮาเซโย ๆ ๆ (สวัสดีๆๆ)“

                    หญิงสาวพลิกตัวงัวเงียเอื้อมมือไปปิดทั้งที่ยังหลับตา แต่ก็สะดุดเข้ากับร่างๆหนึ่งที่นอนขวางอยู่ทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นดู เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างๆนั้นก็หันมามองเธอเช่นกัน 

                    ..แต่สิ่งที่หญิงสาวเห็นในแสงสลัวยามเช้านั้นคือร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ ขณะที่รอบของตาเป็นรอยเขียวคล้ำบวมแต่นัยน์ตาแดงกล่ำน่ากลัวราวกับซากศพ!

                    “อุ๊บ...โดรากาซีดา(ศพคนตาย)!

                    หญิงสาวอุทานอย่างตกใจพร้อมกับสัญชาตญาณป้องกันตัว  เธอยกเท้าขึ้นถีบร่างนั้นอย่างแรงด้วยท่าเทกวนโดจนร่างนั้นกระเด็นตกจากเตียงลงมาเสียงดัง ตุ๊บ..แอ๊ก! พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น

                    “โอ๊ย! อีนังบัว! อีเกาหลีบ้า นี่แกถีบชั้นทำไมยะ”

    เสียงนั้นพูดขึ้นเสียงสูงเป็นภาษาไทยด้วยความโกรธทำให้หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนึกขึ้นได้  ค่อยๆชะโงกหน้าลงมาดูที่พื้นข้างเตียง

                    “นังแต๊บ...แกเองเหรอ”เสียงอ่อยๆแกมนึกผิด

                    “ก็ชั้นนะสิ ถ้าไม่ใช่ชั้นแล้วแกนึกว่าเป็นใครยะ นังบัว”

                    ชายหนุ่มหุ่นผอมบางที่ถูกเรียกว่านังแต๊บลุกขึ้นยืนกรีดนิ้วชี้หน้า ส่วนมืออีกข้างยังคลำสะโพกที่ตกลงมากระแทกกับพื้นห้องจนเคล็ด

                    “ก็...เดี๋ยวก่อน...ชั้นชื่อโบอา  ภาษาเกาหลีแปลว่าเพชร.. ดังนั้นชื่อไทยของชั้นคือเพชรา! ไม่ใช่ดอกบัว บอกกี่ครั้งแล้ว หัดจำซะบ้าง”หญิงสาวเห็นท่าไม่ดี เลยพาลหักมุมเลี้ยวเปลี่ยนเรื่อง

                    “ย่ะ แม่เพ็ดดีกรีเอ๊ย แม่เพชรา..(ทำเสียงตอแหลมาก)  แล้วชั้นก็บอกหล่อนกี่ครั้งแล้วเหมือนกันว่าชั้นชื่อว่าแต๊กหรือว่าน้องต๊อกแต๊ก ไม่ใช่แต๊บที่หมายถึงการเหน็บหรือหนีบอวัยวะบางอย่างไว้ไม่ให้ปรากฏสู่สายตา  ดังนั้นถ้าแกอยากให้ชั้นเรียกชื่อแกให้ถูกแกก็ต้องเรียกชื่อชั้นให้ถูกก่อนด้วย เข้าใจมั๊ยยะ”

                    “เข้าใจย่ะ แต่ไม่ทำ เดี๋ยวจะหาว่ากลัว”โบอาแกล้งทำเสียงตอแหลพอกัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าดุ

                    “ว่าแต่แกน่ะ....เข้ามานอนในห้องชั้นได้ยังไง แล้วทำไมต้องโบ๊ะหน้ายังกับศพแบบนี้ด้วย...กัมจากียา! (ตกใจหมดเลย!)”

                    “จะบ้าเหรอ ที่ใช้พอกหน้าเนี่ยเป็นครีมรกแกะจากออสเตรเลียเชียวนะยะ พี่เบิร์ดยังใช้เลย”แต๊กจีบปากจีบคอเถียง

                    “ครีมรกแกะ แต่คนพอก.. รกโลก”

                    “นังคนอกตัญญู เรื่องเมื่อคืน...แกจำไม่ได้รึไงว่าที่ชั้นต้องตาเขียวหน้าช้ำจนต้องโบ๊ะหน้ารักษาโฉมแบบเนี๊ย ก็เพราะแกนี่แหละตัวต้นเหตุ”

                    โบอาทำหน้าปวดหัวแบบคนเมาค้าง เอามือเคาะหัวตัวเองเบาๆ ยิ้มเขินๆ ผู้ชายดูแล้วคงรู้สึกว่าน่ารักแต่กะเทยอย่างแต๊กเห็นแล้วยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น

                    “อือ..ออเจ็ดปาเม ซูลึล นอมู มานี มาซิยอซอโย(เมื่อคืน สงสัยคงจะดื่มเหล้ามากไปหน่อย)”

                    เพราะปรับโหมดสมองไม่ทัน โบอาเลยเผลอรำพึงออกมาเป็นภาษาเกาหลี

                    “เริ่มจำได้แล้วเหรอยะว่าเมื่อคืนนี้พวกเราสี่คน มีชั้น แก นังแพรรี่แล้วก็นังเบลล์ไปนั่งกินโซจู(เหล้าเกาหลี) ในโปจังมาชาแถวๆบังแบดงด้วยกัน...”

                    โปจังมาชาหมายถึงร้านรถเข็นหรือเพิงร้านชั่วคราวที่ใช้ผ้ายางหรือผ้าพลาสติกกั้นแล้วมุงหลังคาเป็นเต็นท์หลังเล็กๆเรียงรายอยู่ตามถนน มีคอเหล้ามานั่งดื่มสังสรรค์หลังเลิกงานกัน อย่างที่เห็นกันบ่อยๆในละครทีวีเกาหลี  ส่วนย่านบังแบดงนั้นอยู่เลยสะพานข้ามแม่น้ำฮานไปทางคังนัม มีร้านเหล้าร้านเล็กร้านน้อยเรียงรายอยู่มากมาย

                    โบอาพยามยามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพค่อยๆแฟลชแบ็คย้อนกลับเข้ามาประกอบคำบรรยายของแต๊ก

                    “...ระหว่างที่เรานั่งกินเหล้ากันอยู่ พวกแก๊งกะเทยตอแหลบริษัทอินจองทัวร์ที่ชอบใส่ร้ายชอบแย่งลูกค้าบริษัทเราเข้ามานั่งที่โต๊ะข้างๆสี่คน ...แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มแซวกัน เพิ่มดีกรีเป็นด่าแล้วก็ขว้างของใส่กัน  สุดท้ายแกนั่นแหละที่เดินเข้าไปต่อยนังเอ๊กกี้ปากปลาร้าจนหน้าคว่ำสลบคาจานหอยโฮงฮับ...สะใจนะ แต่ก็น่าเสียดายหอยจานนั้นจริงๆ”

                    ในหัวของโบอาเริ่มปรากฏภาพสโลโมชั่นของสองแก๊งที่เป็นกะเทยไทยสองฝ่ายเจ็ดคน กับสาวเกาหลีตัวจุดชนวนอีกหนึ่งไล่ตบตีหยิกข่วนกันวี้ดว้ายท่ามกลางสายตาเกาหลีเมามุงที่ยืนเชียร์กันอย่างสนุกสนาน โบอาเอามือกุมหน้าผากตัวเองเมื่อคิดว่าทำแบบนั้นไปได้ยังไง

                    “แล้วใครชนะ...”โบอาถาม เพราะภาพจำในสมองเริ่ม error เพราะฤทธิ์เมาค้างจากเหล้าโซจู

                    “แหม ก็ต้องเป็นพวกเรานะสิ กะเทยกระดูกอ่อนอย่างพวกแก๊งอินจองน่ะ เจอกะเทยทหารพรานอย่างยายแพรรี่คนเดียวก็จบแล้ว  แต่ชั้นนี่สิยะ คนงามอย่างชั้นน่ะเป็นแนวนักรักนะไม่ใช่นักรบ...ก็เลยโดนใครก็ไม่รู้ต่อยเข้าเต็มเบ้าตาจนเขียวปั๊ดแบบเนี๊ย....ก็เพราะแกนี่แหละ...นังบัว!

                    “ค่อยยังชั่วหน่อยที่แก๊งเราชนะ...ส่วนแก ขอบตาเขียวก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องเปลืองอายแชโดว์....ว่าแต่ แกตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าทำไม....วันนี้วันหยุดไม่มีทัวร์ลงซะหน่อย”โบอาท้วงขึ้น ขยับตัวทำท่าจะลงนอนต่อ

                    “ว๊าย! ตายแล้ว แกลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้มีทัวร์พิเศษ... รายการทีวีจากเมืองไทยจะมาถึงเช้านี้!

                    โบอาลุกพรวดขึ้น พุ่งตัวไปที่ห้องน้ำทันที กำลังจะปิดประตูแต่ถูกแต๊กรีบแหย่เท้ากั้นไว้ ก่อนโวยวาย

                    “ให้ชั้นเข้าด้วยสิ แกเข้าห้องน้ำนานมาก”

                    “ไม่ได้ ถึงแกจะเป็นกะเทย แต่ตรงนั้นก็ยังเป็นผู้ชายอยู่นะยะ”โบอาเถียง พยายามจะปิดประตู

                    “ทำยังกับไม่เคยเห็น...“แต๊กทำหน้าย่นใส่

                    “ก็เพราะเคยเห็นแล้วนะสิ ถึงไม่อยากเห็นอีก”

    โบอาทำหน้ายู่คืนแล้วเตะใส่เท้าจนแต๊กต้องหดเท้ากลับมา โบอารีบปิดประตูห้องน้ำทันที ทิ้งให้น้องต๊อกแต๊กทุบประตู ยืนตดไปบิดตัวไป โวยวายไปอยู่นอกห้อง

                    “จำไว้เลยนังโบอา...นังเกาหลีนรก!

     

                                                                                2.แก๊งกะปิน้ำปลา

    8.20น. สนามบินอินชอน

                    ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนซึ่งติดอันดับสูงของสนามบินชั้นนำของโลกมาตั้งแต่เปิดใช้แทนสนามบินนานาชาติคิมโปเมื่อปีพ.ศ.2544 ตั้งอยู่บนเกาะยางจอง อินชอนเป็นเมืองท่าเรือและอุตสาหกรรมสำคัญ ห่างจากกรุงโซลราวหนึ่งชั่วโมงทางทิศตะวันตก ตอนที่โบอากับแต๊กมาถึงสนามบินก็สายกว่าเวลานัดราวยี่สิบนาที แพรรี่กะเทยทหารพรานแต่งหญิงกับเบลล์ผู้หญิงข้ามเพศหน้าหวานร่างอ้อนแอ้นที่ผ่านการเฉาะเรียบร้อยแล้วยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างๆรถบัสเล็กที่จอดรอคณะทัวร์รายการทีวีจากเมืองไทย  เห็นได้ชัดว่าเบลล์ก็แต่งหน้าหนากว่าปรกติเพื่อปกปิดร่องรอยของสงครามเมื่อคืน ส่วนแพรรี่นั้นดูเหมือนจะไม่มีริ้วรอยขีดข่วนอะไรให้เห็น คะเนจากรูปร่างแล้ว รถสิบล้อวิ่งชนที่ความเร็วเกินกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นที่จะให้ผิวเธอถลอกได้

                    “แว นึดเก วาซอโย?(ทำไมมาสาย?)...”แพรรี่ดูนาฬิกาแล้วพูด ยิ้มเหี้ยมๆกับโบอา

                    “พวกแกสองคนมาสาย ตามกฎ กรุ๊ปทัวร์นี้พวกแก...ต้องเป็นเบ๊!”เบลล์ยิ้มเย้ย กรีดนิ้วแบบคุณนายชี้หน้าทั้งสอง

                    โบอากับแต๊กหันมาทำหน้าย่นใส่กัน โทษกันไปมาถึงสาเหตุที่มาถึงสนามบินช้า

                    “แล้วลูกค้าผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมารึยัง”แต๊กถามขึ้น ทำเป็นเสียงเข้มเอาการเอางาน

                    “ผ่านออกมาเกือบครบแล้ว แต่ยังมีบางคนเข้าห้องสอบพิเศษของตอมอ(ตรวจคนเข้าเมือง)อยู่ ลูกค้าหิวมากพวกชั้นเลยออกมาจะเอาน้ำกับอาหารเช้าไปให้นี่แหละ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องยกไปเองแล้วเพราะมันเป็นหน้าที่ของ...พวกเบ๊!

                    โบอากับแต๊กทำหน้างอ บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหยิบแพ็คน้ำกับถุงใส่แฮมเบอร์เกอร์เต็มสองมือเดินนำหน้าเข้าไปในสนามบินโดยมีเบลล์กับแพรรี่เดินลั้ลลาเริงร่ามาดคุณนายตามมาข้างหลัง

     

                    เมื่อทั้งสี่เดินเข้าไปตรงที่นั่งพักใกล้ทางออกสนามบิน  ลูกทัวร์ชุดทีมงานรายการทีวีจากเมืองไทยมานั่งรออยู่แล้วหกคน เป็นหญิงสี่ชายสอง พร้อมสัมภาระกองใหญ่ทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์ถ่ายทำ ทุกคนดูท่าทางอ่อนล้าสะลึมสะลือเพราะนั่งเครื่องบินมานานกว่าห้าชั่วโมง และเวลาที่เกาหลีก็เร็วกว่าเมืองไทยราวสองชั่วโมง ดังนั้นเวลาของระบบร่างกายของชาวคณะจึงพึ่งจะเป็นเวลาหกโมงเช้าเท่านั้น  แต่ผู้ชายสองคนในคณะที่หันมาเห็นโบอาเข้าก็เริ่มมีท่าทางตาสว่างคึกคักขึ้นมาทันที

    แต่ที่น่าแปลกก็คือ ผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าที่แต่งตัวไฮโซฯซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนในคณะจะเกรงใจก็จ้องมองโบอาด้วยสายตาแปลกๆด้วยเช่นกันจนโบอาเองก็รู้สึก เธอหันไปยิ้มให้ แต่หญิงไฮโซฯคนนั้นกลับแกล้งเฉไฉไปมองเสียทางอื่น ไม่ยอมสบสายตาด้วย

                    “มาพร้อมกันหมดครบทุกคนรึยังคะ...”แพรรี่ถาม พยายามดัดเสียงให้หวาน ตัดกับหน้าโหด

                    หญิงสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักแต่ท่าทางโก๊ะๆไม่มั่นใจตัวเองคนหนึ่งยกมือเหมือนอยู่ในชั้นเรียนก่อนตอบ

                    “เหลือพี่ก้องอีกคนหนึ่งค่ะ..พี่ก้องเป็นโปรดิวเซอร์และพิธีกรคู่ของหนูค่ะ”

                    เธอชื่อน้องจิ๊บ พิธีกรหญิงประจำรายการซึ่งมากับคุณแม่เจี๊ยบหญิงแต่งตัวไฮโซฯที่แอบมองโบอาด้วยสายตาแปลกๆคนนั้นนั่นเอง

                    “ตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลีเนี่ยขึ้นชื่อมากเลยค่ะเรื่องความเฮี้ยบ บางทัวร์นะคะโดนจับส่งกลับตั้งหลายคนแน่ะเพราะเค้าสงสัยว่าจะเป็นพวกแฝงกับทัวร์แล้วหนีเข้าเมืองแอบไปทำงานแบบไม่มีใบอนุญาตนะค่ะ”เบลล์พูดให้ข้อมูลเชิงอธิบายว่าทำไมแต่ละคนจึงต้องใช้เวลามากกว่าตรวจคนเข้าเมืองของประเทศอื่นๆที่เคยเจอมา

                    “แล้วนี่ถ้าโปรดิวเซอร์ไม่ผ่านตอมอแล้วโดนส่งกลับเมืองไทย พวกเราจะทำยังไง”เสียงถามขึ้นจากผู้หญิงวัยยี่สิบห้าที่กำลังตรวจเช็คสภาพกล้องอยู่ เธอเป็นตากล้องชื่อจ๋า

                    “งั้นก็...ไม่ต้องทำงาน เที่ยวกันอย่างเดียวเลย”เสียงตอบดังมาจากหนุ่มหน้าทะเล้นวัยเดียวกัน แต่ไว้หนวดไว้เคราแถมแต่งตัวเสื้อผ้าแบบกึ่งเลียนแบบชาวกะเหรี่ยง  เขาคือนายนกเขา ครีเอทีฟ ประจำรายการ

                    มีเสียงเฮฮาชอบใจจากหลายๆคนในคณะ

                    “ก็ได้ แต่เงินจ่ายกันเองนะ”หญิงร่างอ้วน ขาวหมวยวัยสามสิบกว่าๆพูดขัดคอขึ้น  เธอคือพี่แจ๋ว ฝ่ายประสานงานและการเงินของรายการ

                    “... เจ้าของบริษัทมาเอง ถ้าพวกเราแย่งจ่ายมันจะเป็นการดูถูกความรวยกันเกินไป ใช่มั๊ยครับ...น้องจิ๊บ”นายใหม่หน้าตาตลกทะเล้นไว้หนวดแบบอาร์ตติส ตากล้องอีกคนที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์ไวร์เลสและไมค์หัวกล้องสำหรับบันทึกเสียงอยู่พูดขึ้น แล้วหันไปถามน้องจิ๊บสาวสวยวัยรุ่นหน้าตาน่ารักคนนั้น ทำให้ชาวไกด์ทั้งสี่คาดเดาได้ทันทีว่าหญิงวัยกลางคนไฮโซฯคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทและคงเป็นมารดาของน้องจิ๊บด้วย

                    “แหม คุณแม่น่ะ เค็มจะตาย...”

    น้องจิ๊บทำป้องปากแบบลิเกแล้วพูดเป็นเสียงบ่นเบาๆ แต่ทุกคนก็ได้ยินทำให้มีเสียงหัวเราะครืนจากชาวคณะตามมา ขณะที่มารดาของเธอหันมาตีลูกสาวเบาๆแก้เขินแต่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก แล้วก็พลอยหัวเราะตามทุกคนไปด้วย 

    ดูเหมือนว่า จะเป็นบริษัททำรายการทีวีเล็กๆที่น่ารัก ทุกคนสนิทสนมกันดีและไม่มีพิธีรีตองหรือแบ่งชั้นวรรณะอะไรมากมาย..โบอาและเพื่อนไกด์ทั้งสามคิดเหมือนๆกัน  แต่ว่าโดยธรรมเนียมปฏิบัติของชาวไกด์นำเที่ยวแล้ว พวกเขาจะต้องรักษาระยะห่างกับลูกค้าไว้ในระดับหนึ่งอยู่เสมอ เพราะถ้าพวกเขารู้สึกเป็นเพื่อนกับลูกค้าเมื่อไหร่ โอกาสของรายได้ในหลายๆส่วนของอาชีพไกด์ก็จะหายไปทันที 

    น่าเสียดายที่มิตรภาพของคนเราในยุคปัจจุบัน ได้ถูกกางกั้นด้วยผลประโยชน์และหน้ากากสังคมที่เพิ่มพับทับซ้อนกันหลายชั้นขึ้นไปทุกที...

                    “นั่น พี่ก้องออกมาแล้ว..”

    เสียงพูดอย่างร่าเริงของน้องจิ๊บดังขึ้น ทำให้ชาวไกด์ทั้งสี่หันไปมองตามเสียงทันที  ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อคมเข้ม สูงสมส่วน วัยราวๆยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี แม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์แต่ยิ่งดูโดดเด่นน่ามอง ทำให้ทั้งแต๊ก เบลล์และแพรรี่เผลอมองตาเยิ้มเคลิ้มฝันทันที

                    “...มีนัม(หล่อจัง)..”เบลล์เผลออุทานเป็นภาษาเกาหลี

                    “...ม็อกโก ซิบพอโย..(อยากกินจังเลย)”แพรรี่เผลอพูดเกาหลีบ้าง น้ำลายไหลยืด

                    “ยายบ้า นั่นมันผู้ชายนะ ไม่ใช่แยมโรล” ต๊อกแต๊กพูดแย้งแพรรี่ แต่ตายังจ้องมองเคลิ้ม

                    โบอาเอามือแกว่งผ่านตาเพื่อน แต่อาการเคลิ้มคนหล่อของทั้งสามก็ยังไม่สะดุด

                    “ตื่น...ตื่นได้แล้ว...”โบอาพูด เขย่าตัวเบลล์กับแพรรี่

                    เบลล์ได้สติ หันมามองหน้าสวยหวานของโบอา แววตาแอบอิจฉา แล้วเบลล์ก็เอ่ยขึ้นกับโบอา น้ำเสียงทีเล่นทีจริง

                    “วอนซู!(ศัตรู)”

                    “ใช่! ตอนนี้เราต้องเป็นศัตรูกัน ใครดีใครได้”แต๊กพูดเชิงสนับสนุนนโยบายเล่นเกมส์แย่งผู้ชายแก้เซ็งกันของเพื่อนๆไกด์ทัวร์ที่ปฏิบัติกันมาเป็นปรกติ

                    “ผู้ชายคนนี้ เสร็จชั้นแน่!

    แพรรี่พูดพลางยิ้มอย่างมั่นใจ ทำให้เพื่อนทั้งสามหันมามองเป็นตาเดียวกัน

                    “ชั้นมั่นใจ!

    แพรรี่พูดย้ำ ก่อนจะหัวเราะออกมาแบบไม่มีเหตุมีผล ทำให้เพื่อนทั้งสามนึกเห็นภาพชายหนุ่มถูกแพรรี่ต่อยท้องจนตัวงอก่อนจะถูกลากเข้าไปในห้อง ตามมาด้วยเสียงฉีกเสื้อผ้าและเสียงหัวเราะของแพรรี่ดังออกมาจากในห้อง

                    “ทำไมชั้นต้องมาเป็นเพื่อนกับพวกบ้าพวกนี้ด้วยนะ...”โบอาส่ายหน้า พึมพำกับตัวเองเบาๆ

                    โปรดิวเซอร์และพิธีกรรูปหล่อเดินมาถึงกลุ่ม ยิ้มเนือยๆก่อนพูดเชิงอธิบายกับทุกคน

                    “โดนซักแทบแย่แน่ะครับ พอดีพาสปอร์ตผมเคยเข้าประเทศที่มีพวกหัวรุนแรงหลายครั้ง สงสัยจะกลัวว่าผมจะเป็นพวกผู้ก่อการร้าย...”ก้องพูดเซ็งๆ

                    “แหม หน้าตาอย่างก้องเนี่ยเจ๊ว่าน่าจะเป็น..ผู้ก่อการรัก..จริงมั้ยทุกคน”คุณนายเจี๊ยบเอ่ยหยอกขึ้นอย่างสนิทสนม เรียกเสียงเฮฮาวี๊ดวิ้วจากชาวคณะในอารมณ์ฉิ่งฉับทัวร์แบบไทยๆจนคนในสนามบินหลายคนหันมามอง ทำให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสนามบินสองสามคนเริ่มขยับตัวจ้องมองมา ...

                    “เอ้อ...มาครบกันแล้ว งั้นเราออกไปที่รถกันเลยดีกว่านะฮะ”แต๊กเห็นท่าไม่ดีหลังจากหันไปสบตาเข้ากับรปภ.เกาหลีหน้าดุ

                    ทุกคนเห็นพ้อง ขยับตัวช่วยกันยกข้าวของสัมภาระและอุปกรณ์ถ่ายทำเดินตามไกด์ทั้งสี่ออกจากภายในสนามบิน โบอาที่หิ้วน้ำกับอาหารเช้าเข้ามาแล้วต้องหิ้วกลับออกไปอีกแอบบ่นพึมพำเป็นภาษาเกาหลีไปตลอดทาง แล้วเธอยังต้องคอยพูดปฏิเสธนายใหม่ตากล้องปากปีจอกับนายนกเขาครีเอทีฟติสท์แตกที่เดินตามติด แล้วอาสาจะมาช่วยถือของให้ทั้งที่ตัวเองก็มีข้าวของพะลุงพะลังอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นน้ำใจแอบแฝงตามสไตล์จีนคือ..หวังหลีเจ้า  จนทำให้ก้องที่หิ้วกระเป๋าเดินตามมาข้างหลังห่างๆแอบยิ้มขำ โดยลืมสังเกตไปว่าตอนนี้เขาเองก็กำลังถูกสายตาแทะโลมของไกด์กะเทยทั้งสามไม่น้อยไปกว่ากันเลย

    ทั้งหมดเดินมาขึ้นรถบัสขนาดเล็กที่จอดรออยู่หน้าสนามบินอินชอน ช่วยกันยกของขึ้นรถ เลือกหาที่นั่งกันตามใจชอบ โบอากับแต๊กทำหน้าที่แจกน้ำกับแฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารเช้าสำหรับทุกคน

    “ขอต้อนรับด้วยอาหารเช้าเกาหลีมื้อแรกค่ะ”เบลล์เอ่ยขึ้น

                    “แฮมเบอร์เกอร์นี่เหรอคะ...อาหารเกาหลี”จ๋า ตากล้องสาวพูดแย้งขึ้น

                    “ค่ะ เพราะแฮมเบอร์เกอร์นี้ไม่ใช่แมคโดนัลด์ไม่ใช่เบอร์เกอร์คิง แต่เป็นยี่ห้อของเกาหลีค่ะ ทุกคนคงจะทราบดีว่าเกาหลีนี่เค้ามีความเป็นชาตินิยมสูงมาก ขนาดกูลิโกะยังมียี่ห้อเกาหลีทำแข่งแถมขายดีกว่าด้วย เพราะของแท้เคยถูกสั่งห้ามนำเข้า...”เบลล์อธิบาย

                    “แล้วสาวเกาหลีกับสาวญี่ปุ่นล่ะ ใครน่ารักกว่ากัน..”ครีเอทีฟนกเขารีบตั้งแนวชีกอขึ้นมาทันที

                    “กะเทยไทยกินขาดค่ะ!

    แพรรี่แย่งตอบ เรียกเสียงฮาครืน

                    ก่อนที่รถบัสของคณะถ่ายทำรายการทีวีจากเมืองไทยจะเคลื่อนออกจากสนามบินอินชอน แท็กซี่คันหนึ่งก็วิ่งมาจอดข้างๆ ผู้โดยสารสองคนแต่งตัวคล้ายกันมากซึ่งพึ่งลงจากรถแท็กซี่พอหันมาเห็นแพรรี่ที่ยืนเกาะราวอยู่ตรงประตูทางขึ้นรถบัสเหมือนกระเป๋ารถเมล์ถึงกับเผลอสะดุ้ง พอแพรรี่หันมาเห็นทั้งสองเข้าก็ทำหน้าขู่ทันที

                    “แฮ่...”

    หน้าแพรรี่ตอนทำท่าขู่นั้น น่าสะพรึงกลัวไม่ต่างกับสุนัขพันธ์โหดร็อตไวเลอร์เลยทีเดียว ทั้งสองเผลอร้องตกใจแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในสนามบินทันที

    “ใครน่ะ..”โบอาหันมาถามเพื่อนอย่างสงสัย

                    “ก็พวกเมื่อคืนไง”แพรรี่ตอบ พลางยิ้มหวาน ซึ่งดูแล้วน่ากลัวกว่าตอนไม่ยิ้มเสียอีก

                    ภาพการตีกันกลางถนนของกะเทยเมาและตัวเธอแวบเข้ามาในสมองอีกครั้ง ทำให้โบอายิ้มอย่างอารมณ์ดี

                    “อ๋อ ฝาแฝดตัวแสบคู่นั้นใช่มั๊ย”

    โบอาพึมพำขึ้น ขณะที่รถบัสเริ่มแล่นไกลออกจากสนามบิน...และไกลออกจากโอกาสสำคัญที่สุดที่เธอเฝ้ารอมาเกือบตลอดชีวิต โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย....

    หลังจากที่รถบัสแล่นออกไปไม่ถึงนาที ชายหนุ่มหน้าทะเล้นชาวไทยคนหนึ่งก็หิ้วกระเป๋าเดินทางออกมาจากภายในอาคารสนามบินอินชอน ยืนเก้ๆกังๆอยู่คนเดียวเหมือนกำลังรอใครอยู่ที่หน้าสนามบิน แล้วจู่ๆกระเป๋าที่ถืออยู่ก็ขาดแควกออกเป็นรอยยาวเหมือนโดนใครเอามีดโกนแอบกรีดไว้ เสื้อผ้าข้าวของในกระเป๋าตกกระจายเกลื่อนพื้น ชายหนุ่มคนนั้นเอามือจับหน้าผากก่อนจะทรุดตัวลงพยายามยัดของที่ตกอยู่ใส่ในกระเป๋าแล้วเปลี่ยนจากหิ้วเป็นอุ้มไว้แทน พลางบ่นกับตัวเอง

                    “ทำไมสองวันมานี่มันซวยตลอดเลยวะ ยังกับมีใครคอยตามแอบแกล้งเราอยู่งั้นแหละ...”

                    “ขอโทษคะ...พี่ตั๊กที่นัดไว้รึเปล่าคะ”

    เสียงดัดจริตดังขึ้นที่ด้านหลัง ทำให้นักสืบตั๊กหันกลับไปมอง  ภาพที่เห็นคือกะเทยหน้าปลวกเหมือนกันเป๊ะสองคนกำลังยืนยิ้มหวานให้กับเขาอยู่ ตั๊กเอามือขยี้ตาแรงๆก่อนจะพยายามมองใหม่อีกครั้ง

                    “ไม่ใช่ภาพซ้อนเพราะสมองเสื่อมหรอกค่ะ พวกเราเป็นฝาแฝดกัน หนูเป็นพี่ชื่อเอมมี่... ส่วนน้องชื่อแอนนี่...”

                    “เออ..โลกเรานี่มันมีอะไรแปลกๆกว่าที่คิดไว้เยอะเลยเนอะ...ตกลงน้องสองคนมาจากบริษัทมีโซ-โคเรียนทัวร์ใช่มั๊ย”นักสืบตั๊กถาม เริ่มยิ้มได้อย่างเริ่มสบายใจขึ้นมาบ้าง

                    “ก็...ไม่เชิงหรอกค่ะ พอดีเพื่อนๆที่มีโซ-โคเรียนติดงานทัวร์เลยฝากเราให้มารับแทนค่ะ ...เมื่อก่อนเราสองคนก็อยู่บริษัทมีโซ-โคเรียนหรือรอยยิ้มเกาหลีค่ะ แต่ต่อมาพวกเราก็ขยับขยายออกมาตั้งบริษัทอินจอง-โคเรียนทราเวล แปลว่า..น้ำใจแห่งเกาหลี แต่ออฟฟิศก็อยู่ติดๆกัน เป็นเหมือนบริษัทพี่บริษัทน้องกันเลยค่ะ ถ้อยทีถ้อยอาศัย บางทีลูกค้าโทรมาที่เคาน์เตอร์ของบริษัทมีโซ...โทรมาแล้วไม่มีใครว่างรับสาย พวกเราก็ยังไปช่วยรับแทนให้เลยค่ะ...”แอนนี่อธิบาย

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น